วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

CALL

คอมพิวเตอร์ช่วยเรียนภาษา
                                                                                                                                                                      การนำคอมพิวเตอร์มาช่วยสอนเป็นวิธีจัดการเรียนการสอนวิธีหนึ่งที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวถ่ายทอดเนื้อหาหรือบทเรียนไปสู่ผู้เรียน  มีบทบาทในการช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้มากขึ้น และสามารถตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างผู้เรียนได้จึงทำให้ปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอย่างกว้างขวาง  คำที่นิยมใช้เรียกคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมี 2 คำ  คือ  CAI : Computer-Assisted  Instruction  กับ  CAL : Computer-Assisted  Learning  โดยคำว่า CAI  นิยมใช้ในสหรัฐอเมริกา  และ  CAL  นิยมใช้ในยุโรป   แต่มีความหมายอย่างเดียวกัน (วสันต์  จันทโรภพ  2536 : 12-13)  และต่อมาได้มีการพัฒนานำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ  มีชื่อเรียกว่า  CALL :  Computer-Assisted  Language  Learning (ผ่าน  บาลโพธิ์  2534)  มีผู้กำหนดความหมายของ CALL  ไว้หลายอย่าง  สามารถสรุปได้ว่า  หมายถึงเทคโนโลยีสื่อการสอนที่ทันสมัยซึ่งอยู่ในรูปของซอฟแวร์คอมพิวเตอร์  ที่ครูใช้เพื่อช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาของผู้เรียนที่มีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน  โดยใช้เพียงสื่อการสอนชนิดหนึ่งในชั้นเรียนเท่านั้นไม่สามารถใช้สอนแทนครูทั้งหมดได้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนภาษามีการพัฒนาควบคู่กับทฤษฎีทางการเรียนรู้และวิธีการสอนภาษาอังกฤษ  ซึ่งวอร์ชาเออร์ (Warchauer  อ้างอิงใน  Torut 1999)  ได้แบ่งออกเป็น 4 ระยะดังนี้
 
                        1.  คอมพิวเตอร์ช่วยสอนภาษาในยุคพฤติกรรมนิยม (Behavioristic CALL)  ยึดถือทฤษฎีการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม  ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนซ้ำ ๆ  ซอร์ฟแวร์ส่วนใหญ่เป็นแบบฝึกหัดเพื่อปฏิบัติและฝึกฝน  คอมพิวเตอร์เป็นเหมือนผู้ช่วยสอน (Tutor)  กิจกรรมในการเรียนรู้ส่งเสริมความถูกต้องของภาษามากกว่าความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา  มีจุดอ่อนที่ยังไม่ได้รับการยอมรับในเชิงเหตุผลและการสอนจากทั้งนักทฤษฎีและนักปฏิบัติ
 
                        2.  คอมพิวเตอร์ช่วยสอนภาษาในยุคภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communicative CALL)  ให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่แท้จริงมากกว่าการฝึกฝนและการทำแบบฝึกหัด  นำเสนอกิจกรรมทุกอย่างบนคอมพิวเตอร์  ให้ความสำคัญกับการใช้ภาษาในสถานการณ์ต่าง ๆ  ไม่มีรูปแบบของการฝึกฝนภาษาซ้ำ ๆ  ใช้วิธีการสร้างข้อความใหม่ ๆ ในการอ่านเพื่อชี้นำ  ให้แบบฝึกหัดเติมคำในช่องว่าง  มีจุดอ่อนที่คอมพิวเตอร์ยังไม่ได้บูรณาการเข้ากับหลักสูตรอย่างเต็มที่  การนำมาใช้ส่วนใหญ่เป็นการทดลอง  ยังไม่ได้ใช้เป็นพื้นฐานของการศึกษาโดยรวม
 
                        3.  คอมพิวเตอร์ช่วยสอนภาษาในยุคบูรณาการแบบสื่อหลากหลาย (Integrative  CALL Multimedia  CD-ROM)  ซอฟแวร์ประกอบด้วยสื่อหลายประเภท  เช่น  ข้อความ  ภาพ  เสียง  ภาพเคลื่อนไหว  และเทปโทรทัศน์  มีการพัฒนาซอฟแวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม  เช่น  Toolbook,  Authoware  และ  Director  ให้ใช้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  สร้างจากแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อสร้างแรงจูงใจจากภายในของนักเรียน  กระตุ้นให้เกิดกิจกรรมระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน  และผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์  มีการรวบรวมสื่อหลายหลายไว้ด้วยกัน  ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และประเมินความก้าวหน้าได้ด้วยตนเอง  สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ภาษาอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นจริงมากขึ้น  ผู้เรียนได้ใช้ทักษะทั้งสี่ด้านของภาษา  คือ  ฟัง  พูด  อ่าน  และเขียน  ผู้เรียนสามารถเรียนรู้บทเรียนต่าง ๆ เช่น  คำอธิบายไวยากรณ์  อภิธานศัพท์  การออกเสียง  และแบบฝึกหัด  เป็นต้น
 
                        4.  คอมพิวเตอร์ช่วยสอนภาษาในยุคบูรณาการอินเตอร์เนต (Integrative  CALL-Internet)  มีลักษณะเป็นที่รวบรวมสื่อหลากหลายประเภทจากอินเตอร์เนต  เช่น  ข้อความ  รูปภาพ  เสียง  ภาพเคลื่อนไหว  และวีดีทัศน์  มีการเชื่อมแหล่งความรู้ต่าง ๆ ทางอินเตอร์เนตเข้าด้วยกันด้วยความเร็วสูง  ยึดตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารสร้างแรงจูงใจจากภายในของนักเรียนเพื่อการสื่อสารที่เป็นธรรมชาติ กระตุ้นให้มีกิจกรรมระหว่างผู้เรียนและผู้ใช้อินเตอร์เนตทั่วโลก  สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ภาษาอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นจริงมากขึ้น  ผู้เรียนได้ใช้ทักษะทั้งสี่ด้านของภาษา  ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่หลากหลายและวัฒนธรรมที่ต่างกัน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถแบ่งเป็น  7  ประเภท  ดังนี้  คือ 
                        1.  แบบฝึกหัดหรือปฏิบัติ (Drill  and  Practice)
                        2.  แบบสอนเนื้อหา (Tutorial)
                        3.  แบบสถานการณ์จำลอง (Simulation)
                        4.  แบบสาธิต (Demonstration)
                        5.  แบบเกมการสอน (Instructional  Games)
                        6.  แบบทดสอบ (Test) 
                        7.  แบบแก้ปัญหา  (Problem  Solving) 
                        คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีประโยชน์มากมายทั้งต่อผู้สอน  ผู้เรียนและการจัดการเรียนการสอน  ซึ่งกล่าวโดยสรุปคือ  คอมพิวเตอร์ช่วยสอนภาษาอังกฤษคือสื่อการสอนที่เป็นผู้ช่วยครูในการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ทางภาษา  และส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน  นักเรียนสามารถเลือกบทเรียนที่เหมาะสมกับตัวเองได้  และมีการเรียนรู้เป็นขั้นตอนตามโปรแกรม  





ตัวอย่าง CALL 
Unit: Science and technology Topic: Solar System




Writing Skill

เทคนิคการสอนทักษะเขียนภาษาอังกฤษ (Writing Skill)


      การเขียน คือ การสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยข้อความเป็นลายลักษณ์อักษร มีจุดมุ่งหมายเพื่อถ่ายทอดความคิดของผู้ส่งสารคือผู้เขียนไปสู่ผู้รับสารคือ ผู้อ่าน กระบวนการสอนทักษะการเขียน ยังจำเป็นต้องเริ่มต้นจากการสร้างระบบในการเขียน จากความถูกต้องแบบควบคุมได้ (Controlled Writing) ไปสู่การเขียนแบบควบคุมน้อยลง (Less Controlled Writing) อันจะนำไปสู่การเขียนแบบอิสระ ( Free Writing) ได้ในที่สุด ครูผู้สอนควรมีความรู้และความสามารถในการจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการ เขียนให้แก่ผู้เรียนได้อย่างไร ผู้เรียนจึงจะมีทักษะการเขียนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพสูงสุด



การฝึก ทักษะการเขียนสำหรับผู้เรียนระดับต้น สิ่งที่ผู้สอนต้องคำนึงถึงให้มากที่สุด คือ ต้องให้ผู้เรียนมีข้อมูลเกี่ยวกับ คำศัพท์ ( Vocabulary) กระสวนไวยากรณ์ ( Grammar Pattern) และเนื้อหา ( Content) อย่างเพียงพอที่จะเป็นแนวทางให้ผู้เรียนสามารถคิดและเขียนได้ ซึ่งการสอนทักษะการเขียนในระดับนี้ อาจมิใช่การสอนเขียนเพื่อสื่อสารเต็มรูปแบบ แต่จะเป็นการฝึกทักษะการเขียนอย่างเป็นระบบที่ถูกต้อง อันเป็นรากฐานสำคัญในการเขียนเพื่อการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับ สูงได้ต่อไป ครูผู้สอนควรมีความรู้และความสามารถในการจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการ เขียนให้แก่ผู้เรียนได้อย่างไร ผู้เรียนจึงจะมีทักษะการเขียนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
1. เทคนิควิธีปฎิบัติ
การฝึกทักษะการเขียน มี 3 แนวทาง คือ 
1.1 การเขียนแบบควบคุม (Controlled Writing) เป็นแบบฝึกการเขียนที่มุ่งเน้นในเรื่องความถูกต้องของรูปแบบ เช่น การเปลี่ยนรูปทางไวยากรณ์ คำศัพท์ในประโยค โดยครูจะเป็นผู้กำหนดส่วนที่เปลี่ยนแปลงให้ผู้เรียน ผู้เรียนจะถูกจำกัดในด้านความคิดอิสระ สร้างสรรค์ ข้อดีของการเขียนแบบควบคุมนี้ คือ การป้องกันมิให้ผู้เรียนเขียนผิดตั้งแต่เริ่มต้น กิจกรรมที่นำมาใช้ในการฝึกเขียน เช่น
Copying , เป็นการฝึกเขียนโดยการคัดลอกคำ ประโยค หรือ ข้อความที่กำหนดให้ ในขณะที่เขียนคัดลอก ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้การสะกดคำ การประกอบคำเข้าเป็นรูปประโยค และอาจเป็นการฝึกอ่านในใจไปพร้อมกัน
Gap Filing เป็นการฝึกเขียนโดยเลือกคำที่กำหนดให้ มาเขียนเติมลงในช่องว่างของประโยค ผู้เรียนจะได้ฝึกการใช้คำชนิดต่างๆ (Part of Speech) ทั้งด้านความหมาย และด้านไวยากรณ์
Re-ordering Words, เป็นการฝึกเขียนโดยเรียบเรียงคำที่กำหนดให้ เป็นประโยค ผู้เรียนได้ฝึกการใช้คำในประโยคอย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และเรียนรู้ความหมายของประโยคไปพร้อมกัน
Changing forms of Certain words เป็นการฝึกเขียนโดยเปลี่ยนแปลงคำที่กำหนดให้ในประโยค ให้เป็นรูปพจน์ หรือรูปกาล ต่างๆ หรือ รูปประโยคคำถาม ประโยคปฏิเสธ ฯลฯ ผู้เรียนได้ฝึกการเปลี่ยนรูปแบบของคำได้อย่างสอดคล้องกับชนิดและหน้าที่ของ คำในประโยค
Substitution Tables เป็นการฝึกเขียนโดยเลือกคำที่กำหนดให้ในตาราง มาเขียนเป็นประโยคตามโครงสร้างที่กำหนด ผู้เรียนได้ฝึกการเลือกใช้คำที่หลากหลายในโครงสร้างประโยคเดียวกัน และได้ฝึกทำความเข้าใจในความหมายของคำ หรือประโยคด้วย

1.2 การเขียนแบบกึ่งควบคุม (Less – Controlled Writing) เป็นแบบฝึกเขียนที่มีการควบคุมน้อยลง และผู้เรียนมีอิสระในการเขียนมากขึ้น การฝึกการเขียนในลักษณะนี้ ครูจะกำหนดเค้าโครงหรือรูปแบบ แล้วให้ผู้เรียนเขียนต่อเติมส่วนที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์ วิธีการนี้ ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะความสามารถในการเขียนได้มากขึ้น อันจะนำไปสู่การเขียนอย่างอิสระได้ในโอกาสต่อไป กิจกรรมฝึกการเขียนแบบกึ่งอิสระ เช่น
Sentence Combining เป็นการฝึกเขียนโดยเชื่อมประโยค 2 ประโยคเข้าด้วยกัน ด้วยคำขยาย หรือ คำเชื่อมประโยค ผู้เรียนได้ฝึกการเขียนเรียบเรียงประโยคโดยใช้คำขยาย หรือคำเชื่อมประโยค ในตำแหน่งที่ถูกต้อง

Describing People เป็นการฝึกการเขียนบรรยาย คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ โดยใช้คำคุณศัพท์แสดงคุณลักษณะของสิ่งที่กำหนดให้ ผู้เรียนได้ฝึกการใช้คำคุณศัพท์ขยายคำนามได้อย่างสอดคล้อง และตรงตามตำแหน่งที่ควรจะเป็น
Questions and Answers Composition เป็นการฝึกการเขียนเรื่องราว ภายหลังจากการฝึกถามตอบปากเปล่าแล้ว โดยอาจให้จับคู่แล้วสลับกันถามตอบปากเปล่าเกี่ยวกับเรื่องราวที่กำหนดให้ แต่ละคนจดบันทึกคำตอบของตนเองไว้ หลังจากนั้น จึงให้เขียนเรียบเรียงเป็นเรื่องราว 1 ย่อหน้า ผู้เรียนได้ฝึกการเขียนเรื่องราวต่อเนื่องกัน โดยมีคำถามเป็นสื่อนำความคิด หรือเป็นสื่อในการค้นหาคำตอบ ผู้เรียนจะได้มีข้อมูลเป็นรายข้อที่สามารถนำมาเรียบเรียงต่อเนื่องกันไปได้ อย่างน้อย 1 เรื่อง
Parallel Writing เป็นการฝึกการเขียนเรื่องราวเทียบเคียงกับเรื่องที่อ่าน โดยเขียนจากข้อมูล หรือ ประเด็นสำคัญที่กำหนดให้ ซึ่งมีลักษณะเทียบเคียงกับความหมายและโครงสร้างประโยค ของเรื่องที่อ่าน เมื่อผู้เรียนได้อ่านเรื่องและศึกษารูปแบบการเขียนเรียบเรียงเรื่องนั้นแล้ว ผู้เรียนสามารถนำข้อมูลหรือประเด็นที่กำหนดให้มาเขียนเลียนแบบ หรือ เทียบเคียงกับเรื่องที่อ่านได้
Dictation เป็นการฝึกเขียนตามคำบอก ซึ่งเป็นกิจกรรมที่วัดความรู้ ความสามารถของผู้เรียนในหลายๆด้าน เช่น การสะกดคำ ความเข้าใจด้านโครงสร้างประโยค ไวยากรณ์ รวมถึงความหมายของคำ ประโยค หรือ ข้อความที่เขียน

1.3 การเขียนแบบอิสระ ( Free Writing) เป็นแบบฝึกเขียนที่ไม่มีการควบคุมแต่อย่างใด ผู้เรียนมีอิสระเสรีในการเขียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิด จินตนาการอย่างกว้างขวาง การเขียนในลักษณะนี้ ครูจะกำหนดเพียงหัวข้อเรื่อง หรือ สถานการณ์ แล้วให้ผู้เรียนเขียนเรื่องราวตามความคิดของตนเอง วิธีการนี้ ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะความสามารถในการเขียนได้เต็มที่ ข้อจำกัดของการเขียนลักษณะนี้ คือ ผู้เรียนมีข้อมูลที่เป็นคลังคำ โครงสร้างประโยค กระสวนไวยากรณ์เป็นองค์ความรู้อยู่ค่อนข้างน้อย ส่งผลให้การเขียนอย่างอิสระนี้ ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร 

Presentation




While writing


ตัวอย่างแผน Writing
Unit: Myself  Topic: Daily ruotine


ตัวอย่าง VDO Writing


วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

Listening Skill

เทคนิคการสอนทักษะการฟังภาษาอังกฤษ
Listening Skill

 " ทำอย่างไรให้ฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่องและพูดภาษาอังกฤษเก่ง”  หรือ "ทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง” หรือ “ทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง”
 เป็นคำพูดที่มักจะเจอบ่อยๆสำหรับคนที่อยากจะ พูดภาษาอังกฤษได้ดี ทั้งๆที่เรียนภาษาอังกฤษกันมาแล้วมากมาย บางคนเรียนมาแล้วมากกว่า 10 ปี บางคนเรียนภาษาอังกฤษมากับสถาบันสอนภาษาอังกฤษ หลายสถาบัน แต่ก็ยังไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ซักที บางคนสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้ดี และเข้าใจได้ดี หรือบางคนทำคะแนนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้ดี แต่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เพราะอะไร
     สาเหตุที่สำคัญคือ ทักษะการฟังภาษาอังกฤษกล่าวคือเราต้องพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษก่อน และต้องฟังประโยคซ้ำๆ หลายๆรอบจนขึ้นใจแล้วพูดตาม ออกเสียงตามให้เหมือนที่สุด อาจไม่เข้าใจความหมายหรือคำแปลไม่เป็นไร
     การฟังภาษาอังกฤษ ถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด และพัฒนายากที่สุด  ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของคนไทยส่วนใหญ่ รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดของการ เรียนภาษาอังกฤษของคนไทย หากเราลองนึกดูว่า แล้วภาษาไทยที่เราพูด, อ่าน และเขียนได้ในปัจจุบัน นั้น  มีพื้นฐานมาจากอะไร หากไม่ใช่มาจากการฟัง ฟังจนเข้าใจในสิ่งที่เราได้รับฟังมา  แล้วเลียนเสียงนั้น(คือการพูดตาม) จนพูดได้  หลังจากนั้น จึงเริ่มเรียนการเขียน   แล้วจึงตามมาด้วยการอ่าน เช่นเดียวกัน  หากเราได้ ฟังภาษาอังกฤษ หลายๆรอบ บ่อยๆ ซ้ำๆจนจำขึ้นใจแล้ว เราจะพบว่าเราสามารถฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่องและเข้าใจโดยอัตโนมัติ  นอกจากนั้นยังสามารถ พูดภาษาอังกฤษได้อีกด้วย
เทคนิคการสอนทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ( Listening Skill) 
 การฟังในชีวิตประจำวันของคนเราจะเกิดขึ้นได้ใน 2 กรณี คือ การฟังที่ได้ยินโดยมิได้ตั้งใจในสถานการณ์รอบตัวทั่วๆไป ( Casual Listening) และ การฟังอย่างตั้งใจและมีจุดมุ่งหมาย ( Focused Listening) จุดมุ่งหมาย หรือวัตถุประสงค์ของการฟัง คือ การรับรู้และทำความเข้าใจใน “สาร” ที่ผู้อื่นสื่อความมาสู่เรา 







      ทักษะการฟังภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญ และมีความสามารถในการฟังอย่างเข้าใจในสารที่ได้รับฟัง ครูผู้สอนควรมีความรู้และเทคนิคในการสอนทักษะการฟังอย่างไร จึงจะสามารถจัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้ประสบผลสำเร็จ
 
1.เทคนิควิธีปฎิบัติ
สิ่งสำคัญที่ครูผุ้สอนควรพิจารณาในการสอนทักษะการฟัง มี 2 ประการ คือ
1.1 สถานการณ์ในการฟัง สถานการณ์ที่ก่อให้เกิดการฟังภาษาอังกฤษได้นั้น ควรเป็นสถานการณ์ของการฟังที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง สถานการณ์จริง หรือ สถานการณ์จำลองในห้องเรียน ซึ่งอาจเป็น การฟังคำสั่งครู การฟังเพื่อนสนทนา การฟังบทสนทนาจากบทเรียน การฟังโทรศัพท์ การฟังรายการวิทยุ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ ฯลฯ
1.2 กิจกรรมในการสอนฟัง ซึ่งแบ่งเป็น 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมนำเข้าสู่การฟัง ( Pre-listening) กิจกรรมระหว่างการฟัง หรือ ขณะที่สอนฟัง ( While-listening) กิจกรรมหลังการฟัง (Post-listening) แต่ละกิจกรรมอาจใช้เทคนิค ดังนี้

1) กิจกรรมนำเข้าสู่การฟัง 
( Pre-listening) การที่ผู้เรียนจะฟังสารได้อย่างเข้าใจ ควรต้องมีข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับสารที่ได้รับฟัง โดยครูผู้สอนอาจใช้กิจกรรมนำให้ผู้เรียนได้มีข้อมูลบางส่วนเพื่อช่วยสร้าง ความเข้าใจในบริบท ก่อนการรับฟังสารที่กำหนดให้ เช่น
การใช้รูปภาพ อาจให้ผู้เรียนดูรูปภาพที่เกี่ยวกับเรื่องที่จะได้ฟัง สนทนา หรือ อภิปราย หรือ หาคำตอบเกี่ยวกับภาพนั้น ๆการเขียนรายการคำศัพท์ อาจให้ผู้เรียนจัดทำรายการคำศัพท์เดิมที่รู้จัก โดยใช้วิธีการเขียนบันทึกคำศัพท์ที่ได้ยินขณะรับฟังสาร หรือการขีดเส้นใต้ หรือวงกลมล้อมรอบคำศัพท์ในสารที่อ่านและรับฟังไปพร้อมๆกันการอ่านคำถาม เกี่ยวกับเรื่อง อาจให้ผู้เรียนอ่านคำถามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในสารที่จะได้รับฟัง เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบแนวทางว่าจะได้รับฟังเกี่ยวกับเรื่องใด เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าเกี่ยวกับข้อมูลประกอบการรับฟัง และค้นหาคำตอบที่จะได้จากการฟังสารนั้นๆ
การทบทวนคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง อาจทบทวนคำศัพท์จากความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจะปรากฎอีกในสารที่จะได้รับฟัง เป็นการช่วยทบทวนข้อมูลส่วนหนึ่งของสารที่จะได้เรียนรู้ใหม่จากการฟัง
 
2) กิจกรรมระหว่างการฟัง  
หรือ กิจกรรมขณะที่สอนฟัง ( While-listening) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติในขณะที่รับฟังสารนั้น กิจกรรมนี้มิใช่การทดสอบการฟัง แต่เป็นการ “ฝึกทักษะการฟังเพื่อความเข้าใจ” กิจกรรมระหว่างการฟังนี้ ไม่ควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติทักษะอื่นๆ เช่น อ่าน หรือ เขียน หรือ พูด มากนัก ควรจัดกิจกรรมประเภทต่อไปนี้
-ฟังแล้วชี้ เช่น ครูพูดประโยคเกี่ยวกับวัตถุ สิ่งของ หรือ สถานที่รอบตัว ภายในชั้นเรียน ผู้เรียนชี้สิ่งที่ได้ฟังจากประโยคคำพูดของครูฟังแล้วทำเครื่องหมายบนภาพ เช่น ผู้เรียนแต่ละคนมีภาพคนละ 1 ภาพ ในขณะที่ครูอ่านประโยคหรือข้อความ ผู้เรียนจะทำเครื่องหมาย X ลงในบริเวณภาพที่ไม่ตรงกับข้อความที่ได้ฟัง
-ฟังแล้วเรียงรูปภาพ เช่น ผู้เรียนมีภาพชุด คนละ 1 ชุด ครูอ่านสาร ผู้เรียนเรียงลำดับภาพตามสารที่ได้ฟัง โดยการเขียนหมายเลขลงใต้ภาพทั้งชุดนั้น
-ฟังแล้ววาดภาพ เช่น ผู้เรียนมีกระดาษกับปากกาหรือ ดินสอ ครูพูดประโยคที่มีคำศัพท์ที่ต้องการให้นักเรียนวาดภาพ เช่น คำศัพท์เกี่ยวกับวัตถุสิ่งของ สถานที่ สัตว์ ผลไม้ ฯลฯ นักเรียนฟังแล้ววาดภาพสิ่งที่เกี่ยวกับคำศัพท์ที่ได้ฟัง
-ฟังแล้วจับคู่ภาพกับประโยคที่ได้ฟัง ผู้เรียนมีภาพคนละหลายภาพ ครูอ่านประโยคทีละประโยค ผู้เรียนเลือกจับคู่ภาพที่สอดคล้องกับประโยคที่ได้ฟัง โดยการเขียนหมายเลขลำดับที่ของประโยคลงใต้ภาพแต่ละภาพ
-ฟังแล้วปฏิบัติตาม ผู้สอนพูดประโยคคำสั่งให้ผู้เรียนฟัง ผู้เรียนปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้ฟังแต่ละประโยค
-ฟังแล้วแสดงบทบาท ผู้สอนพูดประโยคหรือข้อความเกี่ยวกับบทบาทให้ผู้เรียนฟัง ผู้เรียนแสดงบทบาทตามประโยคที่ได้ฟังแต่ละประโยค หรือข้อความนั้น
-ฟังแล้วเขียนเส้นทาง ทิศทาง ผู้เรียนมีภาพสถานที่ต่างๆ คนละ 1 ภาพ ผู้สอนพูดประโยคหรือข้อความเกี่ยวกับเส้นทาง ทิศทาง ที่จะไปสู่สถานที่ต่างๆ ในภาพนั้น ให้ผู้เรียนฟัง ผู้เรียนลากเส้นทางจากตำแหน่งสถานที่แห่งหนึ่งไปสู่ตำแหน่งต่างๆ ตามที่ได้ฟัง
 
3) กิจกรรมหลังการฟัง  
(Post-listening) เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ภาษาภายหลังที่ได้ฝึกปฏิบัติ กิจกรรมระหว่างการฟังแล้ว เช่น อาจฝึกทักษะการเขียน สำหรับผู้เรียนระดับต้น โดยให้เขียนตามคำบอก (Dictation) ประโยคที่ได้ฟังมาแล้ว เป็นการตรวจสอบความรู้ ความถูกต้องของการเขียนคำศัพท์ สำนวน โครงสร้างไวยากรณ์ ของประโยคนั้น หรือฝึกทักษะการพูด สำหรับผู้เรียนระดับสูง โดยการให้อภิปรายเกี่ยวกับสารที่ได้ฟัง หรืออภิปรายเกี่ยวกับอารมณ์หรือเจตคติของผู้พูด เป็นต้น

การสอนทักษะการฟังโดยใช้สถานการณ์และกิจกรรมที่นำเสนอข้างต้น จะช่วยพัฒนาคุณภาพทักษะการฟังของผู้เรียนให้สูงขึ้นได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความถี่ในการฝึกฝน ซึ่งผู้เรียนควรจะได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ทักษะการฟังที่ดี จะนำไปสู่ทักษะการพูดที่ดีได้เช่นเดียวกัน 

Presentation 



While listening

Post listening





ตัวอย่างแผน Listening
Unit: Family  Topic: Pets 


ตัวอย่าง VDO Listening



วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

Speaking Skill

เทคนิคการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ

( Speaking Skill) 

การสอนภาษาทุกภาษา มีธรรมชาติของการเรียนรู้เช่นเดียวกัน คือ เริ่มจากการฟัง และการพูด แล้วจึงไปสู่การอ่านและการเขียน ตามลำดับ จุดมุ่งหมายของการพูด คือ การสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยการพูดอย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว ครูผู้สอนควรมีความรู้และความสามารถอย่างไร จึงจะสามารถจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการพูดให้แก่ผู้เรียนได้อย่างสอด คล้องกับระดับและศักยภาพของผู้เรียน

เทคนิคการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ( Speaking Skill)
การ สอนภาษาทุกภาษา มีธรรมชาติของการเรียนรู้เช่นเดียวกัน คือ เริ่มจากการฟัง และการพูด แล้วจึงไปสู่การอ่านและการเขียน ตามลำดับ การสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษในเบื้องต้น มุ่งเน้นความถูกต้องของการใช้ภาษา ( Accuracy) ในเรื่องของเสียง คำศัพท์ ( Vocabulary) ไวยากรณ์ ( Grammar) กระสวนประโยค (Patterns) ดังนั้น กิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนระดับต้นได้ฝึกทักษะการพูด จึงเน้นกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องฝึกปฏิบัติตามแบบ หรือ ตามโครงสร้างประโยคที่กำหนดให้พูดเป็นส่วนใหญ่ สำหรับผู้เรียนระดับสูง กิจกรรมฝึกทักษะการพูด จึงจะเน้นที่ความคล่องแคล่วของการใช้ภาษา ( Fluency) และจะเป็นการพูดแบบอิสระมากขึ้น เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการพูด คือ การสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยการพูดอย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว ครูผู้สอนจึงควรมีความรู้และความสามารถอย่างไร จึงจะสามารถจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการพูดให้แก่ผู้เรียนได้อย่างสอด คล้องกับระดับและศักยภาพของผู้เรียน




1. เทคนิควิธีปฎิบัติ
กิจกรรมการฝึกทักษะการพูด มี 3 รูปแบบ คือ

1.1 การฝึกพูดระดับกลไก (Mechanical Drills) เป็นการฝึกตามตัวแบบที่กำหนดให้ในหลายลักษณะ เช่น
พูดเปลี่ยนคำศัพท์ในประโยค (Multiple Substitution Drill)
พูดตั้งคำถามจากสถานการณ์ในประโยคบอกเล่า (Transformation Drill)
พูดถามตอบตามรูปแบบของประโยคที่กำหนดให้ (Yes/No Question-Answer Drill)
พูดสร้างประโยคต่อเติมจากประโยคที่กำหนดให้ (Sentence Building)
พูดคำศัพท์ สำนวนในประโยคที่ถูกลบไปทีละส่วน (Rub out and Remember)
พูดเรียงประโยคจากบทสนทนา (Ordering dialogues)
พูดทายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในบทสนทนา (Predicting dialogue)
พูดต่อเติมส่วนที่หายไปจากประโยค ( Completing Sentences )
พูดให้เพื่อนเขียนตามคำบอก (Split Dictation)
ฯลฯ

1.2 การฝึกพูดอย่างมีความหมาย ( Meaningful Drills) เป็นการฝึกตามตัวแบบที่เน้นความหมายมากขึ้น มีหลายลักษณะ เช่น
............ พูดสร้างประโยคเปรียบเทียบโดยใช้รูปภาพ
............ พูดสร้างประโยคจากภาพที่กำหนดให้
............ พูดเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ในห้องเรียน
............ ฯลฯ

1.3 การฝึกพูดเพื่อการสื่อสาร (Communicative Drills) เป็นการฝึกเพื่อมุ่งเน้นการสื่อสาร เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างคำตอบตามจินตนาการ เช่น
พูดประโยคตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ( Situation)
พูดตามสถานการณ์ที่กำหนดให้ ( Imaginary Situation)
พูดบรรยายภาพหรือสถานการณ์แล้วให้เพื่อนวาดภาพตามที่พูด ( Describe and Draw)
ฯลฯ



Presentation



While-Speaking


Post-Speaking



ตัวอย่างแผน Speaking



ตัวอย่าง VDO Speaking




Reading Skill

เทคนิคการสอนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ

(Reading Skill)

การอ่านภาษาอังกฤษ มี 2 ลักษณะ คือ การอ่านออกเสียง (Reading aloud) และ การอ่านในใจ (Silent Reading ) การอ่านออกเสียงเป็นการอ่านเพื่อฝึกความถูกต้อง (Accuracy) และความคล่องแคล่ว ( Fluency) ในการออกเสียง ส่วนการอ่านในใจเป็นการอ่านเพื่อรับรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่อ่านซึ่ง เป็นการอ่านอย่างมีจุดมุ่งหมาย เช่นเดียวกับการฟัง ต่างกันที่ การฟังใช้การรับรู้จากเสียงที่ได้ยิน ในขณะที่การอ่านจะใช้การรับรู้จากตัวอักษรที่ผ่านสายตา ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญและ มีความสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ ด้วยเทคนิควิธีการโดยเฉพาะ ครูผู้สอนจึงควรมีความรู้และเทคนิคในการสอนทักษะการอ่านให้แก่ผู้เรียนอย่าง ไรเพื่อให้การอ่านแต่ละลักษณะประสบผลสำเร็จ


เทคนิคการสอนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ (Reading Skills)


การ อ่านภาษาอังกฤษ มี 2 ลักษณะ คือ การอ่านออกเสียง (Reading aloud) และ การอ่านในใจ (Silent Reading ) การอ่านออกเสียงเป็นการอ่านเพื่อฝึกความถูกต้อง (Accuracy) และความคล่องแคล่ว ( Fluency) ในการออกเสียง ส่วนการอ่านในใจเป็นการอ่านเพื่อรับรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่อ่านซึ่ง เป็นการอ่านอย่างมีจุดมุ่งหมาย เช่นเดียวกับการฟัง ต่างกันที่ การฟังใช้การรับรู้จากเสียงที่ได้ยิน ในขณะที่การอ่านจะใช้การรับรู้จากตัวอักษรที่ผ่านสายตา ทักษะการอ่านภาษา อังกฤษเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญและมีความสามารถ เพิ่มพูนขึ้นได้ ด้วยเทคนิควิธีการโดยเฉพาะ ครูผู้สอนจึงควรมีความรู้และเทคนิคในการสอนทักษะการอ่านให้แก่ผู้เรียนเพื่อ ให้การอ่านแต่ละลักษณะประสบผลสำเร็จ


1. เทคนิควิธีปฎิบัติ
1.1 การอ่านออกเสียง การฝึกให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงได้อย่าง ถูกต้อง และคล่องแคล่ว ควรฝึกฝนไปตามลำดับ โดยใช้เทคนิควิธีการ ดังนี้
(1) Basic Steps of Teaching ( BST) มีเทคนิคขั้นตอนการฝึกต่อเนื่องกันไปดังนี้
- ครูอ่านข้อความทั้งหมด 1 ครั้ง / นักเรียนฟัง
- ครูอ่านทีละประโยค / นักเรียนทั้งหมดอ่านตาม
- ครูอ่านทีละประโยค / นักเรียนอ่านตามทีละคน ( อาจข้ามขั้นตอนนี้ได้ ถ้านักเรียนส่วนใหญ่อ่านได้ดีแล้ว)
- นักเรียนอ่านคนละประโยค ให้ต่อเนื่องกันไปจนจบข้อความทั้งหมด
- นักเรียนฝึกอ่านเอง
- สุ่มนักเรียนอ่าน
(2) Reading for Fluency ( Chain Reading) คือ เทคนิคการฝึกให้นักเรียนอ่านประโยคคนละประโยคอย่างต่อเนื่องกันไป เสมือนคนอ่านคนเดียวกัน โดยครูสุ่มเรียกผู้เรียนจากหมายเลขลูกโซ่ เช่น ครูเรียก Chain-number One นักเรียนที่มีหมายเลขลงท้ายด้วย 1,11,21,31,41, 51 จะเป็นผู้อ่านข้อความคนละประโยคต่อเนื่องกันไป หากสะดุดหรือติดขัดที่ผู้เรียนคนใด ถือว่าโซ่ขาด ต้องเริ่มต้นที่คนแรกใหม่ หรือ เปลี่ยน Chain-number ใหม่
(3) Reading and Look up คือ เทคนิคการฝึกให้นักเรียนแต่ละคน อ่านข้อความโดยใช้วิธี อ่านแล้วจำประโยคแล้วเงยหน้าขึ้นพูดประโยคนั้นๆ อย่างรวดเร็ว คล้ายวิธีอ่านแบบนักข่าว
(4) Speed Reading คือ เทคนิคการฝึกให้นักเรียนแต่ละคน อ่านข้อความโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ การอ่านแบบนี้ อาจไม่คำนึงถึงความถูกต้องทุกตัวอักษร แต่ต้องอ่านโดยไม่ข้ามคำ เป็นการฝึกธรรมชาติในการอ่านเพื่อความคล่องแคล่ว( Fluency) และเป็นการหลีกเลี่ยงการอ่านแบบสะกดทีละคำ
(5) Reading for Accuracy คือ การฝึกอ่านที่มุ่งเน้นความถูกต้องชัดเจนในการออกเสียง ทั้ง stress / intonation / cluster / final sounds ให้ตรงตามหลักเกณฑ์ของการออกเสียง ( Pronunciation) โดยอาจนำเทคนิคSpeed Reading มาใช้ในการฝึก และเพิ่มความถูกต้องชัดเจนในการออกเสียงสิ่งที่ต้องการ จะเป็นผลให้ผู้เรียนมีความสามารถในการอ่านได้อย่างถูกต้อง (Accuracy) และ คล่องแคล่ว( Fluency) ควบคู่กันไป
1.2 การอ่านในใจ ขั้นตอนการสอนทักษะการอ่าน มีลักษณะเช่นเดียวกับขั้นตอนการสอนทักษะการฟัง โดยแบ่งเป็น 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมนำเข้าสู่การอ่าน ( Pre-Reading) กิจกรรมระหว่างการอ่าน หรือ ขณะที่สอนอ่าน ( While-Reading) กิจกรรมหลังการอ่าน(Post-Reading) แต่ละกิจกรรมอาจใช้เทคนิค ดังนี้


1) กิจกรรมนำเข้าสู่การอ่าน ( Pre-Reading) การที่ผู้เรียนจะอ่านสารได้อย่างเข้าใจ ควรต้องมีข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับสารที่จะได้อ่าน โดยครูผู้สอนอาจใช้กิจกรรมนำให้ผู้เรียนได้มีข้อมูลบางส่วนเพื่อช่วยสร้าง ความเข้าใจในบริบท ก่อนเริ่มต้นอ่านสารที่กำหนดให้ โดยทั่วไป มี 2 ขั้นตอน คือ
ขั้น Personalization เป็นขั้นสนทนา โต้ตอบ ระหว่างครู กับผู้เรียน หรือ ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน เพื่อทบทวนความรู้เดิมและเตรียมรับความรู้ใหม่จากการอ่าน
ขั้น Predicting เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่าน โดยอาจใช้รูปภาพ แผนภูมิ หัวเรื่อง ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะได้อ่าน แล้วนำสนทนา หรือ อภิปราย หรือ หาคำตอบเกี่ยวกับภาพนั้น ๆ หรือ อาจฝึกกิจกรรมที่เกี่ยวกับคำศัพท์ เช่น
ขีด เส้นใต้ หรือวงกลมล้อมรอบคำศัพท์ในสารที่อ่าน หรือ อ่านคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่จะได้อ่าน เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบแนวทางว่าจะได้อ่านสารเกี่ยวกับเรื่องใด เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าเกี่ยวกับข้อมูลประกอบการอ่าน และค้นหาคำตอบที่จะได้จากการอ่านสารนั้นๆ หรือ ทบทวนคำศัพท์จากความรู้เดิมที่มีอยู่ ซึ่งจะปรากฎในสารที่จะได้อ่าน โดยอาจใช้วิธีบอกความหมาย หรือทำแบบฝึกหัดเติมคำ ฯลฯ

2) กิจกรรมระหว่างการอ่าน หรือ กิจกรรมขณะที่สอนอ่าน
( While-Reading) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติในขณะที่อ่านสารนั้น กิจกรรมนี้มิใช่การทดสอบการอ่าน แต่เป็นการ “ฝึกทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ” กิจกรรมระหว่างการอ่านนี้ ควรหลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติทักษะอื่นๆ เช่น การฟัง หรือ การเขียน อาจจัดกิจกรรมให้พูดโต้ตอบได้บ้างเล็กน้อย เนื่องจากจะเป็นการเบี่ยงเบนทักษะที่ต้องการฝึกไปสู่ทักษะอื่นโดยมิได้เจตนา กิจกรรมที่จัดให้ในขณะฝึกอ่าน ควรเป็นประเภทต่อไปนี้
Matching คือ อ่านแล้วจับคู่คำศัพท์ กับ คำจำกัดความ หรือ จับคู่ประโยค เนื้อเรื่องกับภาพ แผนภูมิ
Ordering คือ อ่านแล้วเรียงภาพ แผนภูมิ ตามเนื้อเรื่องที่อ่าน หรือเรียงประโยค (Sentences) ตามลำดับเรื่อง หรือเรียงเนื้อหาแต่ละตอน          ( Paragraph) ตามลำดับของเนื้อเรื่อง
Completing คือ อ่านแล้วเติมคำ สำนวน ประโยค ข้อความลงในภาพ แผนภูมิ ตาราง ฯลฯ ตามเรื่องที่อ่าน
Correcting คือ อ่านแล้วแก้ไขคำ สำนวน ประโยค ข้อความให้ถูกต้องตามเนื้อเรื่องที่ได้อ่าน
Deciding คือ อ่านแล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้อง ( Multiple Choice)หรือ เลือกประโยคถูกผิด ( True/False) หรือ เลือกว่ามีประโยคนั้นๆ ในเนื้อเรื่องหรือไม่ หรือ เลือกว่าประโยคนั้นเป็นข้อเท็จจริง ( Fact) หรือเป็นความคิดเห็น ( Opinion)
Supplying / Identifying คือ อ่านแล้วหาประโยคหัวข้อเรื่อง ( Topic Sentence) หรือ สรุปใจความสำคัญ( Conclusion) หรือ จับใจความสำคัญ ( Main Idea) หรือตั้งชื่อเรื่อง (Title) หรือ ย่อเรื่อง (Summary) หรือ หาข้อมูลรายละเอียดจากเรื่อง ( Specific Information)

3) กิจกรรมหลังการอ่าน (Post-Reading) เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ภาษาในลักษณะทักษะสัมพันธ์เพิ่ม ขึ้นจากการอ่าน ทั้งการฟัง การพูดและการเขียน ภายหลังที่ได้ฝึกปฏิบัติกิจกรรมระหว่างการอ่านแล้ว โดยอาจฝึกการแข่งขันเกี่ยวกับคำศัพท์ สำนวน ไวยากรณ์ จากเรื่องที่ได้อ่าน เป็นการตรวจสอบทบทวนความรู้ ความถูกต้องของคำศัพท์ สำนวน โครงสร้างไวยากรณ์ หรือฝึกทักษะการฟังการพูดโดยให้ผู้เรียนร่วมกันตั้งคำถามเกี่ยวกับเนื้อ เรื่องแล้วช่วยกันหาคำตอบ สำหรับผู้เรียนระดับสูง อาจให้พูดอภิปรายเกี่ยวกับอารมณ์หรือเจตคติของผู้เขียนเรื่องนั้น หรือฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ได้อ่าน เป็นต้น

Presentation


While reading


Post reading




ตัวอย่างแผน Reading
Unit: Community  Topic: Famous People


ตัวอย่าง VDO Reading



วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

CBI

วิธีสอนภาษาที่เน้นเนื้อหา
Content – Based Instruction (CBI)

        Brinton, Snow และ Wesche (1989) ให้คำอธิบายเกี่ยวกับการสอนภาษาโดยใช้เนื้อหาเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ภาษา หรือที่เรียกว่า Content – Based Instruction (CBI)ว่าเป็นการสอนที่ประสานเนื้อหาเข้ากับจุดประสงค์ของการสอนภาษาเพื่อการ สื่อสาร โดยมุ่งให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือในการศึกษาเนื้อหา พร้อมกับพัฒนาภาษาอังกฤษเชิงวิชาการผู้สอนที่ใช้แนวการสอนแบบนี้เห็นว่าครู ไม่ควรใช้เนื้อหาเป็นเพียงแบบฝึกหัดทางภาษาเท่านั้น แต่ครูควรฝึกให้ผู้เกิดความเข้าใจสาระของเนื้อหา โดยใช้ทักษะทางภาษาเป็นเครื่องมือ ครูจะใช้เนื้อหากำหนดรูปแบบของภาษา (Form) หน้าที่ของภาษา (Function) และทักษะย่อย (Sub – Skills) ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องรู้เพื่อที่จะเข้าใจสาระของเนื้อหาและทำกิจกรรมได้ การใช้เนื้อหาเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ภาษานี้จะทำให้ครูสามารถสร้างบทเรียน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงได้มากที่สุด ทั้งนี้ครูจะต้องเข้าใจการสอนแบบบูรณาการหรือทักษะสัมพันธ์ ตลอดจนเข้าใจเนื้อหาและสามารถ ใช้เนื้อหาเป็นตัวกำหนดบทเรียนทางภาษา (Brinton, Snow, Wesche, 1989)
         แนวการสอนแบบนี้ ครูจะประสานทักษะทั้งสี่ให้สัมพันธ์กับหัวเรื่อง (Topic) ที่กำหนดในการเลือกหัวเรื่องครูจะต้องแน่ใจว่าผู้เรียนมีทักษะและกลวิธีการ เรียน (Learning Strategies) ที่จำเป็นเพื่อที่จะสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ การสอนภาษาแนวนี้เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเป็นการฝึกกลวิธีการเรียนภาษา เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจความหมายของภาษาและสามารถนำกลวิธีนี้ไปใช้ได้ ตลอด ส่วนเนื้อหาและกิจกรรมการเรียน ครูสามารถปรับแต่งให้มีความหลากหลายมากขึ้น
        กิจกรรมการเรียนการสอนในแนวนี้จะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิด และเกิดการเรียนรู้ โดยผ่านการฝึกทักษะทางภาษา กิจกรรมเป็นแบบทักษะสัมพันธ์ที่สมจริง ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เรียนได้ฟังหรืออ่านบทความที่ได้จากสื่อจริง (Authentic Material) แล้วผู้เรียนไม่เพียงแต่ทำความเข้าใจข้อมูลเท่านั้น แต่จะต้องตีความและประเมินข้อมูลนั้น ๆ ด้วย ดังนั้นผู้เรียนจะต้องรู้จักการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อที่จะ สามารถพูดหรือเขียนเชิงวิชาการที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ได้ จะเห็นได้ว่าผู้เรียนจะได้ฝึกทั้งทักษะทางภาษา (Language Skills) และทักษะการเรียน (Study Skills) ซึ่งจะเตรียมผู้เรียนให้พร้อมที่จะใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการในสถานการณ์จริง ในอนาคต
        การสอนแบบ CBI มุ่งเตรียมผู้เรียนให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อหาความรู้ทางวิชาการเพิ่ม เติม ซึ่งการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไม่แตกต่างไปจากการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร โดยมีแนวการเรียนการสอนที่สำคัญดังนี้ คือ
- การสอนแบบยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner – Centered Approach)
- การสอนที่คำนึงถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับภาษา (Whole Language Approach)
- การสอนที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning)
- การสอนที่เน้นการเรียนรู้จากการทำโครงงาน (Project – Based Learning)

        นอกจากนี้ยังเน้นหลักสำคัญว่า ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาได้ดี ถ้ามีโอกาสใช้ภาษาในสถานการณ์ที่เหมือนจริง และผู้เรียนจะใช้ภาษามากขึ้นถ้ามีความสนใจในเนื้อหาที่เรียน ดังนั้นผู้เรียนจึงต้องนำเนื้อหาที่เป็นจริงและสถานการณ์การเรียนรู้ที่สม จริงมาให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้ภาษา เพื่อที่จะทำความเข้าใจสาระของเนื้อหา โดยผู้เรียนสามารถใช้พื้นความรู้เดิมของตนในภาษาไทยมาโยงกับเนื้อหาของวิชา ในภาษาอังกฤษ และที่สำคัญที่สุด คือ แนวการสอนแนวนี้ฝึกให้ผู้เรียนคิดเป็น สามารถวิพากษ์วิจารณ์ข้อมูลที่ได้จากเนื้อหาที่เรียน และใช้ทักษะทางภาษาเป็นเครื่องมือในการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมได้ ฉะนั้นการเรียนการสอนวิธีนี้จึงเหมาะสมกับการสอนภาษาในระดับประถมศึกษา 
 Presentation

Listening
Speaking

Reading





ตัวอย่างแผน CBI
Unit: Culture Topic: Local Wisdom
Sub-topic: Beliefs
ตัวอย่าง VDO CBI

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

PPP Model

PPP Model
 
     PPP stands for Presentation, Practice and Production and is a prescribed standard lesson format for many EFL teachers. It is commonly used as a basis for a lesson plan and its principles are taught on many TEFL or TESOL certificate courses. Whilst there are other formats to plan your lessons around, PPP is considered by many in the profession to be the basis from which others can evolve.
To help new teachers get to grips with the basics of this standard format here are a few of the main points.
PPP provides Presentation of new language, Practice of new language and Production of new language:

Foreign Language Acquisitio
Move a child into a foreign language environment surrounded by adults and other children using the same foreign language and that child will quickly 'pick up' the foreign language. Comprehension will come first but production will soon follow, starting with one word responses and utterances. The child's comprehension will develop and her production will become more complex until, after just a few years, she will use the foreign language in much the same way as native-speaker children of her age group. Student
         If children (and, to a lesser degree, adults) can acquire a foreign language without the need for formal instruction, why do we need to give lessons? The child described in the first paragraph will have massive exposure to the foreign language - ten hours each day or more! The child also has a very strong 'survival motivation' to acquire the new language. Only through that language can she eat, drink, make friends and play games.In our normal schools, we cannot reproduce those conditions (although some experiments have attempted to do this!). If we can't reproduce the conditions of 'natural acquisition', we are forced to adopt a system of 'graded exposure' to the foreign language, and a similar graded presentation and explanation of the systems of the new language. In fact, we have to develop a language learning syllabus.
The language learning syllabus is made from a series of language learning events (lessons) which, traditionally, are equal in duration, take place at fixed times and locations and follow a regular weekly pattern.

Bullet Point How do we structure our teaching?
(a) Presentation, Practice, Production
Most teachers plan three phases in their lessons according to the PPP model of Presentation, Practice and Production.
During Presentation, new language is presented perhaps as a grammatical pattern or more frequently within some familiar situation. During this presentation phase, the teacher is often very active and dominates the class doing more than 90% of the talking.
During Practice, the new language item is identified, repeated and manipulated by the students. Unless the teacher is using pairwork or a language laboratory, the teacher also dominates this phase of the lesson occupying more than 50% of the talking in class.
During Production, the students attempt to use the new language in different contexts provided by the teacher.

(b) Engage, study, activate
Since the PPP model has functioned more or less effectively for generations, you might ask why we should be looking at different models. PPP works well provided that your syllabus is based only on giving students 'thin slices' of language one slice at a time. The PPP model does not work nearly so well when teaching more complex language patterns beyond the sentence level or communicative language skills.
Another basic problem with PPP is that it is usually based on segments of the one-hour lesson. In this way, lessons are designed with a single focus.
In How to Teach English [Longman 1998] Jeremy Harmer proposed a different three stage model, the ESA model: Engage, Study, Activate.

Bullet Point The three stages of engage, study, activate

(a) Engage
During the Engage phase, the teacher tries to arouse the students' interest and engage their emotions. This might be through a game, the use of a picture, audio recording or video sequence, a dramatic story, an amusing anecdote, etc. The aim is to arouse the students' interest, curiosity and attention. The PPP model seems to suggest that students come to lessons ready motivated to listen and engage with the teacher's presentation. 

(b) Study
The Study phase activities are those which focus on language (or information) and how it is constructed. The focus of study could vary from the pronunciation of one particular sound to the techniques an author uses to create excitement in a longer reading text; from an examination of a verb tense to the study of a transcript of an informal conversation to study spoken style.
There are many different styles of study, from group examination of a text to discover topic-related vocabulary to the teacher giving an explanation of a grammatical pattern.
Harmer says, 'Successful language learning in a classroom depends on a judicious blend of subconscious language acquisition (through listening and reading, for example) and the kind of Study activities we have looked at here. 

(c) Activate
This element describes the exercises and activities which are designed to get students to use the language as communicatively as they can. During Activate, students do not focus on language construction or practise particular language patterns, but use their full language knowledge in the selected situation or task.

Bullet Point Lesson Structure
(a) The ESA lesson
A complete lesson may be planned on the ESA model where the 50-60 minutes are divided into three different segments. It is very unlikely that these segments will be equal in duration. Activate will probably be the longest phase but Study will probably be longer than Engage.In this format ESA would appear to be little different from PPP. 

(b) The ESA, ESA, ESA lesson
Teachers of children and younger teenagers know that their students cannot concentrate for long periods. They can still use the ESA model but the model may be used repeatedly, producing a larger number of shorter phases.
This repeated ESA model also works well with older teenagers and adults and gives lessons a richness and variety which students appreciate.It would be wrong to give the impression that Engage, Study and Activate are each single activities. They are phases of the teaching/learning process which may contain one or more 
activities.


Presentation


Practice



Production


ตัวอย่างแผนทดลองสอน PPP

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

B-SLIM Model

B-SLIM: Bilash's Success-Guided Language Instructional Model 
We talk so much about self directed learning and have structured policies and proposed practices around the assumption that all learners are equally self-directed.  However, practitioners know that not all learners are equally self-directed.  In fact, teachers also know from experience that some learners need to be taught to be self-directed.  By being based on students’ ‘feelings of success’ in learning a second language (SL), B-SLIM (Bilash's Success-guided Language Instruction Model) incorporates enough scaffolding (structure and support) at each phase of a lesson or series of lessons for learners who are less self sufficient to succeed while simultaneously providing opportunities and direction for the more self-directed student to push forward.  For example, while a less self-directed student might need to follow a template several times before really ‘getting’ the structure of a form such as a brief event review (in order to be able to create one on his/her own as an OUTPUT or 'proving it' assignment), a more self-directed learner may only need to hear or see the model once and be able to replicate and creatively alter it!




Planning and Preparation



Planning and preparation is what we do before we enter the classroom. This part of B-SLIM includes knowing what resources can be used and where they can be found as well as how to adapt and develop resources to fit what is being taught. During this stage, scaffolding is also an important consideration for planning activities and materials. Pacing should be considered including the cognitive capacity of the learners. When selecting and developing activities, teachers also need to think about the diverse learning styles, multiple intelligences and backgrounds of their learners. 

Giving It: What to Teach and How to Teach It
The Giving It stage of B-SLIM is where the teacher chooses WHAT to teach and HOW to present it. Teachers also consider how to attract students attention and memories by building on what students already know and choosing and structuring learning into small steps to teach the “new” material. In this stage, teachers present material in the target language in a way that students understand, which involves the provision of context, visuals, gestures, examples and anecdotes. In addition to knowing WHAT to teach, teachers need to be aware of HOW to present the material considering Miller's magical Number (7 +/- 2), Gardner's Multiple Intelligences, and memory aids.


Getting It: Understanding and Remembering
This stage of the model helps students to LEARN; that is to understand AND remember. This is important because if one cannot remember a concept- whether it be vocabulary, grammar, pronunciation, cultural points or learning strategies- one cannot use it! Getting It activities help students understand the concept being taught at their own rate (self-paced) and through a variety of learning styles.  These activities need to be structured so that all students can succeed. The teacher needs to develop a repertoire of strategies and activities in this phase so that students can learn in different ways and not become bored or unmotivated when learning more difficult concepts.

Using It: Learning Through Language

During the Using it stage of B-SLIM students engage in activities that require them to USE or apply what they have learned from memory (or with minimal assistance). Students solve problems, create, use their imaginations and are put in new situations or contexts in order to ‘transfer’ what they have learned. During this stage students might work in pairs, groups or on their ownand move from learning language (Intake) to learning through language (Uptake). It is during this stage where tasks and activities become more communicative in nature with an emphasis on fluency. 

Proving It: What Has Been Learned




 The Proving It stage of B-SLIM is where the students are able to give PROOF of what they have learned. This learning is usually demonstrated through meaningful tasks for the student (usually something of high interest) that integrates many facets of the language including pronunciation, vocabulary, grammar, situations, functions. These tasks, either oral or written, put emphasis on BOTH fluency and accuracy and students reveal their abilities to use the TL spontaneously, creatively, and personally by integrating all aspects of INPUT into oral and/or written activities or projects.


Assessment & Evaluation


Assessment is an ongoing process throughout B-SLIM that gives feedback to the teacher about how and what students are learning – through both observation and direct feedback from students. Assessment also involves providing criteria that help students see how they are doing and how they can improve in addition to demonstrating what makes a GOOD performance and what makes communication successful. Assessment helps teachers to determine what students still need to learn.
Contrary to Assessment, Evaluation occurs at the end of the BSLIM process and involves final grades, tests, exams and determining what students still need to learn in order to reach a prescribed mandate.

VDO How to teaching B-SLIM

Presentation

Getting


Using



Song Unit: School Topic: Color
 
ตัวอย่างแผน B-SLIM
Unit: School  Topic: Color

ตัวอย่างVDO B-SLIM
     Presentation
     Getting
     Using